เชฟโอบอกว่า 70-80% ของลูกค้าที่ร้านจะเป็นการผูกปิ่นโต “อาหารสุขภาพ” โดยมีทั้งคนไข้โรคมะเร็ง ไต เบาหวาน ล่าสุดที่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ ”โรคภูมิแพ้” การหันมาดูแลสุขภาพด้วยการกินอาหารเป็น “ยา” ไม่ต้องรอป่วยก่อนแล้วค่อยรักษา!
เชฟโอ-นัฐกาญจน์ ศรีสวัสดิ์ ในวัย 37 ปีเจ้าของร้าน “O’ganic Concept” (โอ’แกนิค คอนเซ็ปต์) เล่าว่า หลังเรียนจบทางด้านการทำอาหารจากวิทยาลัยดุสิตธานี โดยในระหว่างที่เรียนอยู่นั้นก็ไปJoin กับร้านอาหารที่อเมริกาเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วย รวมทั้งตอนเรียนจบแล้วยังกลับไปทำงานอยู่อีกหลายปี กระทั่งพอกลับมาเมืองไทยก็เข้าทำงานหาประสบการณ์ต่อทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่งได้สักระยะหนึ่ง จึงได้รับโอกาสที่ดีจากคุณหมอเจ้าของคลินิก Absolute Health ชักชวนให้ไปช่วยดูแลเรื่องโภชนาการ (อาหารสุขภาพ) สำหรับคนไข้มะเร็งของคลินิกด้วย ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เริ่มสตาร์ทในการทำอาหารให้ “คนป่วย” แทนการปรุงเมนูเพื่อเสิร์ฟให้กับคนทั่วไป ตอนนั้นต้องดูแลคนไข้มะเร็งแบบ 100% โดยเป็น Backoffice ให้คลินิก จัดการเรื่องอาหารทำอย่างไร? เพื่อให้คนไข้ survive สามารถไปต่อกับโรคนี้ได้!
“พอหลังจากตอนนั้นเรามี Backoffice ทำอาหารให้คนไข้มะเร็งอยู่ประมาณ 2-3 ปีตั้งแต่ที่เชฟเริ่มทำ เราก็อยากจะเริ่มมีหน้าร้านแล้ว นอกจากซับพอร์ตคนไข้มะเร็งหรือผู้ป่วยรายอื่น ๆ เราก็อยากจะแชร์อาหารที่เราทำให้กับคนอื่นด้วย เพราะว่าเราเริ่มมั่นใจแล้วว่าโอเคอาหารเราไม่แย่นะ แล้วคือค่อนข้าง feedback ที่กลับมา 80-90% คือทานได้ เราทำให้เขาทานได้แล้วทำให้เขา survive ไปต่อได้! แบบเขาไม่ได้ยอมแพ้กับโรคนี้ เขายังอยากกินของอร่อย เขายังอยากมีชีวิตอยู่ อะไรแบบนี้ค่ะมันทำให้เราโอเค มันมีความหมายนะมากกว่าที่จะทำอาหารทั่วไป”
“O’ganic Concept” ร้านอาหารสุขภาพที่อร่อย!
พอทำอาหารให้คนไข้เริ่มมีการใช้ “ผัก” เป็นจำนวนมากขึ้น ก็อยากจะได้ผักหรือวัตถุดิบออร์แกนิคจริง ๆ ที่สามารถซับพอร์ตได้เสมอ เพราะย้อนกลับไปช่วง 5-6 ปีที่แล้ว หายากราคาสูง ดังนั้นทีมก็เลยตัดสินใจรวมทั้งเจ้าของด้วยคุณหมอด้วยทำฟาร์มขึ้นมา เป็นฟาร์มผักออร์แกนิคอยู่ที่ อ.สีคิ้ว และ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ปลูกผักออร์แกนิค 100% ที่มีใบรับรองมาตรฐานด้วย ก็ปลูกผักปลูกผลไม้เอง พอมีผักออร์แกนิค100%แล้วสบายใจที่จะให้คนไข้แล้วเพราะว่า อาหารที่จะทำยังไงก็ปลอดภัยแน่นอน 100% มีการเลือกวัตถุดิบแต่ละอย่างที่ปลอดภัยจริง ๆ ดูส่วนผสมว่าสามารถทานได้หรือไม่ ถ้าทานไม่ได้หรือไม่แน่ใจก็ต้องตัดทิ้งเลย ทุกอย่างคือต้องการให้ธรรมชาติที่สุด และก็ยังคงรสชาติได้ดีที่สุด
“คนไข้อาจจะทำคีโมมาหรือแม้กระทั่งปกติแล้วคนเรา 10 คน “ลิ้น” ก็ไม่เหมือนกัน จะทำยังไงอาหารจานนี้ให้เขากินให้ได้ บางคนก็ลิ้นจืดบางคนก็อ่อนเพลียเพราะว่า เพิ่งทำคีโมมาหรือไปโรงบาลมาอะไรอย่างนี้ เขาก็จะรู้สึกweak ไม่อยากอาหาร แต่ถ้าไม่กิน เขาก็จะไม่มีแรง เป็นงานของเราที่จะทำให้เขากินให้ได้ แต่กินอย่างเดียวไม่ได้ต้อง “อร่อย” ด้วย เป็นเรา เราก็อยากกินอาหารอร่อย ถ้าอาหารไม่อร่อยเราก็ไม่อยากกิน เพราะว่าเชฟก็ถืออยู่อย่างหนึ่งเหมือนกันว่า คนป่วย เขาป่วยกายแล้ว อย่าให้เขาป่วยใจ”
และจากการที่มีฟาร์มผักเองแล้ว ผักเริ่มเยอะ วัตถุดิบมีเหลือ การเก็บ Skill ในการทำ “อาหารสุขภาพ” มาได้ระดับหนึ่งแล้วก็อยากจะแชร์ ให้คนทั่วไปเหมือนกัน เพราะไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่า “ป่วย” ก่อนแล้วค่อยมาหาเดี๋ยวจะทำอาหารให้กิน แต่อยากให้คนที่ไม่อยากป่วย เหมือนอาหารเป็น “ยา” ก็ได้ ซึ่งคนอาจจะรู้สึกว่ากินอาหารแบบนี้มันแพง อาหารออร์แกนิคแพง แต่เชื่อเถอะว่ามันถูกกว่า! ตอนที่คุณรักษากับหมอ คือยังอร่อยอยู่ ราคาอาจจะสูงกว่าอาหารทั่วไป
“พอเป็นหน้าร้านออร์แกนิคแล้วก็จะเป็นอาหารเมนูทั่วไปเลย มีทั้งทานเล่น อาหารสลัด ยำ สเต็ก พาสต้า ฯลฯ อะไรแบบนี้เลย แต่ทีนี้เราเลือกวัตถุดิบ เลือกวิธีการปรุง อย่างเช่น การใช้ซีอื๊วออร์แกนิค ใช้น้ำตาลมะพร้าวแทนน้ำตาลทราย ถ้าน้ำปลาก็น้ำปลาอย่างดีเลยไม่ปนเปื้อนไม่มีน้ำตาลทราย เราเลือกวัตถุดิบตั้งแต่ตรงนั้น วิธีการปรุงเราก็จะใช้ การอบแทนการทอด แต่ทีนี้บางเมนูอย่าง ข้าวผัด หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ต้องใช้น้ำมัน เราก็จะเลือกน้ำมันอย่างการผัดเราก็ใช้ น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว ประมาณอย่างนี้ Healthy ยังดีต่อสุขภาพ”
สามารถบอกหรือเลือกได้ ว่าต้องการทานอาหารแบบไหน
ลูกค้าที่มาสามารถแจ้งกับพนักงานได้ เพราะมีการเทรนไว้แล้วอย่างในกรณีลูกค้าไม่อยากทานเนื้อสัตว์ ซึ่งเดี๋ยวนี้เทรนด์ที่เป็น Plant-base ค่อนข้างมีเยอะขึ้น เกือบทุกร้านที่เป็น Vegan ซึ่งร้านเองก็ซับพอร์ตด้วย จนตอนนี้ลูกค้าจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าร้านเป็นวีแกน แต่จริง ๆ แล้วยังพอมีเนื้อสัตว์อยู่บ้าง ปลา กุ้ง อาหารทะเลที่ไม่มีฟอร์มาลิน ส่วนหมู-ไก่ก็จะเป็นแบบปลอดสาร
ราคาสูงขึ้นนิด แต่คุ้มค่ากว่าแน่นอน
ราคาอาหารเริ่มต้นที่ 120 บาท อย่างเช่น พวกซุป จนไปถึงสเต็กราคาประมาณ 400 กว่าบาท สเต็กก็อย่างเช่น สเต็กปลากะพง ก็จะเป็นปลากะพงปลอดสารเคมีที่อยู่ในเครือข่ายชาวประมงที่ตกด้วยเบ็ด จ. ระนอง อย่างนี้เป็นต้น วัตถุดิบจะส่งตรงมาเลยไม่มีการสต็อกของไว้เป็นจำนวนมาก ๆ อาหารทะเลจะส่งมาทุกสัปดาห์ กุ้งทะเลไม่ใช่กุ้งเลี้ยง ทำให้มีราคาที่อาจจะสูงไปนิดแต่คุณภาพดีแน่นอน
เชฟโอบอกด้วย ประมาณ 70-80% เป็นลูกค้าที่ผูกปิ่นโตกับทางร้าน ก็จะมีปัญหาสุขภาพหลายอย่างไม่เฉพาะแค่ คนไข้มะเร็ง แต่ว่าหลัก ๆ ก็ยังเป็นคนไข้มะเร็ง เพราะบางทีลูกค้าไม่อยาก คือพอมีความรู้หลาย ๆ แบบ แต่ข้อดีกว่าของที่ร้านคือ consult กับคุณหมอได้ตลอดเวลา อาจจะไม่เหมือนกับที่อื่น อย่างในกรณีคนไข้คนนี้มีปัญหาสุขภาพด้านนี้ หรือดูค่า “เลือด” ช่วงนี้มันเป็นแบบนี้ จะปรับกันอย่างไรได้บ้าง ซึ่งเชฟเองจะทำงานกับคุณหมอด้วย เพราะว่าเชฟรู้เรื่องอาหาร/โภชนาการแต่คุณหมอจะดูด้านการแพทย์ไปด้วย ก็เป็นคนไข้มะเร็ง คนไข้โรคไต(มีตั้งแต่ฟอกไตด้วยจนไปถึงคนที่มีภาวะซึ่งค่าไตเริ่มต่ำแล้ว) คนไข้กลุ่มนี้ต้องเลี่ยงเยอะมาก ต้องระวังของที่ทานด้วย ของแปรรูปไม่ได้ เกลือ โพแทสเซียม โซเดียม ฯลฯ ต้องระวังหมด คนไข้เบาหวาน(เยอะ!) คือพอเป็นเบาหวานมันก็ไปเริ่ม ความดัน หัวใจ ที่จะตามมาอีกด้วย แต่อีกอย่างหนึ่งที่เยอะ คือ คนไข้ภูมิแพ้ การแพ้ซึ่งจะมีทั้งแบบเฉียบพลัน อย่างเช่น คนแพ้กุ้งที่มีอาการค่อนข้างรุนแรง หรือการแพ้ในลักษณะของท้องอืด ไม่ย่อย(ปวดท้อง) ไม่ได้รุนแรงมากแต่ก่อปัญหาสุขภาพให้อยู่ อย่างเช่น การแพ้แลกโตสในนม หรือการแพ้กลูเตนในขนมเบเกอรี (ทำจากข้าวสาลี) เป็นต้น
“ตอนแรกเราอยู่อโศก ตอนนั้นเปิดอยู่2 ปีกว่าแล้วพอดีเจอ โควิด-19 ด้วยและก็กำลังจะหมดสัญญา เราก็เลยหาที่ใหม่ ตอนนั้นเจอวิกฤตโควิดด้วยและยิ่งเป็นย่านออฟฟิศด้วยเงียบ เงียบมาก ๆ เลยแต่ว่าเรายัง survive กันได้ด้วยการผูกปิ่นโตอยู่ เพราะว่าลูกค้าที่แพ้อาหารยังต้องทานอาหารกับเรา เราก็เลยโอเคช่วงโควิดที่หนัก ๆ ช่วงแรกเราก็ผ่านกันมาได้ และทีนี้พอมาเริ่มที่นี่
ปีที่3 ก็ย้ายกันมาอยู่ที่อารีย์ เป็นบรรยากาศโฮมมี่ ๆ หน่อยเล็กลงกว่าตอนที่อยู่อโศก ก็จะคนละแบบกัน แต่พอมันสเกลเล็กลงนิดนึงก็ดีค่ะเพราะว่า ไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนไปเยอะ ลูกค้าค่อนข้างที่จะเปลี่ยนแบบ Take Away มากขึ้น และก็ Delivery มากขึ้น”
เป้าหมายหลัก คือ การมีสุขภาพดี
จากการเป็นร้าน “เฉพาะกลุ่ม” และสำหรับคนที่สนใจสุขภาพจริง ๆ เป็นธุรกิจที่กำลังมาแรงด้วย ในช่วงหลายปี และกำลังเติบโตมากขึ้นสำหรับคนที่ทาน Plant-base เพราะว่าคนเริ่มหันมาใส่ใจในการดูแลสุขภาพด้วยการทาน Vegan ทานวีแกนมากขึ้น ซึ่งก็ทำให้เมนูของที่ร้านมากกว่า 70-80% เป็นวีแกนแล้ว และถือเป็นแนวที่มีความถนัดด้วย แต่ว่าก็ยังมี “เนื้อสัตว์” อยู่บ้าง เพราะว่าเป็นเมนูที่ซับพอร์ตกับลูกค้าหลายกลุ่มอยู่เหมือนกัน
“ร้านเปิดทุกวันเลยค่ะ ตั้งแต่จันทร์-วันอาทิตย์และก็ เปิด 08.00 น. ถึง 2 ทุ่มทุกวัน หรืออยากได้คำแนะนำในการทำอาหาร เราก็ไกด์ไลน์ให้ได้ว่าโอเค มีปัญหาสุขภาพด้านนี้ แนะนำจะทานเป็นอะไร แบบนี้ค่ะคือคุยกันได้ ไม่จำเป็นต้องว่า ต้องมาผูกปิ่นโตอย่างเดียวนะ หรือลูกค้าอาจจะผูกปิ่นโตไประยะหนึ่งแต่หลังจากนั้น อาจจะลองทำเองดู เราสามารถไกด์ไลน์ให้ได้ว่าลองเป็นแบบนี้สิ ปรับไลฟ์สไตล์ตัวเอง คือเราอยากจะให้เขาปรับวิถีเขาได้ เขาทำเองได้ แล้วเชฟก็มี class ด้วยมีสอนทำอาหารด้วย ก็มี class ทุกสัปดาห์ทางออนไลน์ สามารถติดตามในเพจ O’ganic Concept ก็ได้ ก็จะมีสอนทำอาหารวีแกนด้วย อาหารธรรมดาด้วยในรูปแบบสุขภาพ คือเป้าหมายหลักเราอยากให้ “สุขภาพดี”และก็สามารถทำเองได้ที่บ้านด้วย” เชฟโอแห่งร้าน “O’ganic Concept” บอกถึงความตั้งใจในที่สุด
สอบถามเพิ่มเติมโทร.064-151-7996
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEsผู้จัดการ”รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด
https://ift.tt/qAFPbDW
อาหารสุขภาพ
Bagikan Berita Ini
0 Response to "(ชมคลิป) ไม่ต้องป่วยก่อนค่อยรักษา กินอาหารเป็น "ยา" ที่ "โอ'แกนิค คอนเซ็ปต์" ร้านอาหารสุขภาพที่อร่อย! - ผู้จัดการออนไลน์"
Post a Comment