2 ทศวรรษที่ผ่านมา เด็กไทยอ้วนเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ซึ่งส่งผลกระทบสำคัญต่อทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญา ไม่เพียงแต่มีผลต่อเด็กเท่านั้น เมื่อเติบโตขึ้นไปเด็กอ้วนยังมีแนวโน้มเป็นผู้ใหญ่อ้วนมากถึง 5 เท่า เสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง สาเหตุหลักของการตายก่อนวัยอันควร ผลกระทบของภาวะอ้วนในเด็ก ยังส่งผลต่อต้นทุนทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่เกิดจากโรคอ้วนสูงถึง 12,142 ล้านบาท โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ และการตายก่อนวัยอันควร
พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีปริมาณไขมัน น้ำตาล โซเดียมสูง (HFSS : High in fat, Sugar and Sodium) ทั้งขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงนั้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กไทยอ้วนเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากกลยุทธ์การตลาดที่กระตุ้นให้เด็กบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม HFSS เพิ่มมากขึ้น จึงเกิดข้อห่วงใยจากทุกภาคส่วน เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2565 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ภาคีเครือข่าย หน่วยงานต่าง ๆ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงร่วมกันจัดงาน “ประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมปกป้องเด็กไทยจากการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ” ณ ห้องประชุมกําธร สุวรรณกิจ
ดร.สุชีรา บรรลือสินธุ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย (WHO) กล่าวถึงมาตรการการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเพื่อปกป้องสุขภาพเด็ก ระดับโลก และประสบการณ์การดำเนินการต่างประเทศ ว่า ปัญหาเรื่องภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในเด็กเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญลำดับต้น ๆ ของโลก จำนวนเด็กที่เป็นโรคอ้วน ทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค ปัจจุบันตัวเลขของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่มีภาวะน้ำหนักเกินสูงถึง 39 ล้านคนทั่วโลก ปัจจัยที่สำคัญในการทำให้โรคอ้วนเพิ่มขึ้นเกิดจากสภาวะด้านอาหารเปลี่ยนไป ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ที่มีไขมัน โซเดียม และน้ำตาลสูง สามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังทำการตลาดมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ กลยุทธ์ทางการตลาดของอาหารจะส่งเสริมให้มีการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพลดลง ก่อให้เกิดอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจเด็ก การตลาดนั้นได้สร้างแบบแผน ค่านิยมในการบริโภคอาหารแปรรูป ทำให้มีการขยายตัวของอาหารแปรรูปอย่างต่อเนื่อง ความจำเป็นเร่งด่วน คือ รัฐบาลแต่ละประเทศต้องออกมาตรการดูแลและกำหนดนโยบาย เพื่อควบคุมกลยุทธ์การตลาด
ด้าน ดร.สง่า ดามาพงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. กล่าวว่า เมื่อไม่ต้องการให้เด็กดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ดีต่อสุขภาพ น้ำตาลสูง หรือไม่ให้รับประทานขนมที่ไขมันสูง ก็ต้องแนะนำผลิตภัณฑ์ทดแทน สิ่งไหนที่อยากให้เด็กบริโภคต้องวางให้เด็กเห็นชัด การห้ามเพียงอย่างเดียวจะไม่สำเร็จ เพราะเด็กต้องกินของว่าง โดยเฉพาะเด็กวัยเรียน จึงควรฝึกเด็กไทยให้กินขนมไทยน้ำตาลน้อย เช่น ขนมเปียกปูน ขนมถั่วแปบ ถั่วเขียวต้มน้ำตาลทรายแดง เลือกขนมไทยที่หวานน้อย หรือฝึกให้เด็กเลือกผลไม้เป็นของว่าง ควบคู่กับการดื่มนมรสจืดและไขมันศูนย์เปอร์เซนต์หรือไขมันต่ำ เป็นการทดแทน ส่วนขนมและเครื่องดื่มที่ใช้สารทดแทนความหวาน แม้จะไม่ให้พลังงาน กินแล้วไม่อ้วน แต่เปลี่ยนพฤติกรรมเด็กไม่ได้ เด็กก็ยังลิ้นติดหวานอยู่ เลือกรับประทานสิ่งที่มีรสหวานอยู่ดี จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ต้องควบคุมให้เด็กรู้จักโทษของการกินหวาน แล้วฝึกให้เด็กกินหวานลดลง นอกจากนี้ เด็กต้องรู้เท่าทันสื่อ สามารถเลือกกินขนมหรือรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพของตนเองได้ ทำอย่างไรให้เด็กไทยรอบรู้ในการฉลาดแยกแยะ ฉลาดรอบรู้เรื่องการสื่อสาร รู้ว่าสื่อสร้างมายาคติให้ สิ่งนี้ควรทำคู่กับการออกกฎหมาย หรือมาตรการควบคุม
ดร.สง่า เพิ่มเติมว่า แม้จะมีตราสัญลักษณ์หรือฉลาก Healthier Choice แต่การทำให้คนรับรู้ยังต่ำอยู่ ไม่มีอะไรดึงดูดให้เด็กดู มีเด็กกี่เปอร์เซนต์ที่อ่านฉลากแล้วตัดสินใจซื้อ ยังไม่เห็นงานวิจัยเรื่องนี้ออกมา ดังนั้น เป้าหมายสำคัญ ไม่ใช่การควบคุมแล้วจบ ต้องลดเด็กอ้วนให้น้อยลงด้วย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เด็กอ้วนเยอะขึ้น ไม่ใช่แค่ขนมและเครื่องดื่ม แต่ยังมีอาหารหลัก 3 มื้อที่เด็กกินที่บ้านและโรงเรียน จึงต้องทำให้เด็กรับประทานอาหารถูกหลักโภชนาการมากขึ้น ควบคู่กับการควบคุมการตลาด
"สิ่งที่อยากให้ทำคู่ขนานกันไป เมื่อขนมที่ไม่เป็นมิตรต่อสุขภาพเต็มตลาด จะส่งเสริมให้อุตสาหกรรมอาหาร ขนม และเครื่องดื่มเหล่านี้ สามารถเป็นมิตรต่อสุขภาพมากขึ้นได้อย่างไร อีกทั้งยังต้องสร้างแรงจูงใจให้เด็กอีกด้วย โดยต้องทำลายความเชื่อว่า ขนมที่ดีต่อสุขภาพมักจะไม่อร่อย และจะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการ รับรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องช่วยเหลือเด็ก ปลุกนักธุรกิจหรือกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารเด็กให้ลุกขึ้นมา ที่ผ่านมา ปล่อยให้ทำแล้วมาคุ้มครอง มาบังคับ คิดว่า กำหนดแคลลอรีลงในฉลากแล้วผู้บริโภคจะอ่าน แต่นี่ไม่ใช่หนทางที่จะแก้ปัญหา" ดร.สง่า กล่าว
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
อ่านบทความและอื่น ๆ ( จริงหรือไม่! การตลาดอาหารและเครื่องดื่มกระตุ้นให้เด็กไทยอ้วนขึ้น - Hfocus )https://ift.tt/6ytYCnv
อาหารสุขภาพ
Bagikan Berita Ini
0 Response to "จริงหรือไม่! การตลาดอาหารและเครื่องดื่มกระตุ้นให้เด็กไทยอ้วนขึ้น - Hfocus"
Post a Comment